Last updated: 5 ก.ย. 2567 | 107 จำนวนผู้เข้าชม |
เด็กที่มีภาวะหูตึงหรือสูญเสียการได้ยินมีลักษณะและพฤติกรรมที่สังเกตได้ต่างจากเด็กทั่วไป เนื่องจากการได้ยินเป็นสิ่งสำคัญในการเรียนรู้และพัฒนาทักษะทางภาษา หากเด็กมีปัญหาทางการได้ยินอาจทำให้การพัฒนาเหล่านี้เกิดความล่าช้าได้ ลักษณะเด่นที่สามารถสังเกตได้ในเด็กที่มีปัญหาหูตึงมีดังต่อไปนี้
1. การพัฒนาทางภาษาช้ากว่าเด็กทั่วไป
หนึ่งในลักษณะที่เด่นชัดที่สุดของเด็กหูตึงคือการพัฒนาทางภาษาและการพูดที่ล่าช้ากว่าเด็กในวัยเดียวกัน เนื่องจากเด็กเหล่านี้ไม่ได้ยินเสียงพูดอย่างชัดเจน จึงมีผลต่อการเรียนรู้คำศัพท์และการออกเสียง ทำให้เด็กพูดช้าหรือไม่สามารถออกเสียงคำได้ถูกต้องตามเกณฑ์อายุ
2. ไม่ตอบสนองต่อเสียงเรียกหรือเสียงรอบตัว
เด็กที่มีภาวะหูตึงอาจไม่ตอบสนองต่อเสียงเรียกชื่อหรือเสียงรบกวนจากสิ่งแวดล้อม เช่น เสียงเรียกจากพ่อแม่หรือครูในระยะไกล หรือเสียงจากโทรศัพท์และทีวี ซึ่งแตกต่างจากเด็กทั่วไปที่มักจะหันไปมองหรือมีปฏิกิริยาตอบสนองต่อเสียงเหล่านี้
3. มักใช้สายตาเป็นหลักในการสื่อสาร
เด็กหูตึงมักจะอาศัยการมองเห็นมากกว่าการฟังในการสื่อสาร เด็กเหล่านี้จะสนใจท่าทาง สีหน้า หรือปากของผู้พูดมากกว่าเสียง โดยอาจพยายามอ่านปากหรือดูภาษากายเพื่อทำความเข้าใจว่าอีกฝ่ายกำลังพูดอะไร
4. มีพฤติกรรมฟังโทรทัศน์หรือวิทยุในระดับเสียงที่ดังเกินไป
เด็กที่มีปัญหาการได้ยินมักจะเพิ่มระดับเสียงของโทรทัศน์หรือวิทยุให้ดังขึ้นกว่าปกติเพื่อให้ได้ยินชัดเจน หากสังเกตว่าเด็กต้องการให้ระดับเสียงดังเกินกว่าที่คนรอบข้างฟังสบาย นี่อาจเป็นสัญญาณของการสูญเสียการได้ยิน
5. มีปัญหาในการเรียนรู้หรือการเข้าใจในห้องเรียน
เด็กที่มีภาวะหูตึงอาจมีปัญหาในการฟังครูหรือทำความเข้าใจบทเรียน โดยเฉพาะในห้องเรียนที่มีเสียงรบกวน เด็กเหล่านี้อาจพลาดคำสั่งหรือคำอธิบายที่สำคัญ ส่งผลให้มีผลการเรียนที่ต่ำกว่าความสามารถจริง
6. มักขอให้พูดซ้ำ
เด็กหูตึงมักจะขอให้คนรอบข้างพูดซ้ำบ่อยครั้ง เพราะพวกเขาไม่ได้ยินหรือไม่ได้ยินอย่างชัดเจนในครั้งแรก สิ่งนี้อาจทำให้เด็กดูเหมือนไม่สนใจหรือไม่ให้ความสำคัญกับสิ่งที่พูด แต่จริงๆ แล้วเป็นเพราะพวกเขาไม่ได้ยินชัดเจน
7. มีปัญหากับการสื่อสารในกลุ่มหรือสถานที่ที่มีเสียงรบกวน
เด็กที่มีปัญหาทางการได้ยินมักจะรู้สึกสับสนหรือไม่สามารถทำความเข้าใจสิ่งที่พูดได้เมื่ออยู่ในสถานการณ์ที่มีเสียงรบกวน เช่น ในห้องเรียนที่มีเสียงนักเรียนคนอื่น ๆ หรือในที่ที่มีการสนทนาพร้อมกันหลายคน
8. อาจแสดงพฤติกรรมเบี่ยงเบนหรือขาดสมาธิ
เด็กหูตึงอาจแสดงพฤติกรรมเบี่ยงเบน เช่น การหมกมุ่นหรือขาดสมาธิในการฟังหรือทำกิจกรรมร่วมกับเพื่อน ๆ เนื่องจากไม่สามารถสื่อสารได้เต็มที่ ทำให้รู้สึกท้อแท้หรือไม่สนใจที่จะมีส่วนร่วมในกิจกรรมที่ใช้การฟังเป็นหลัก
การตรวจพบและการดูแลเด็กหูตึง
การตรวจพบภาวะหูตึงในเด็กแต่เนิ่น ๆ เป็นสิ่งสำคัญเพื่อให้เด็กได้รับการดูแลที่เหมาะสม เช่น การใช้เครื่องช่วยฟัง การฝึกพูด หรือการเรียนรู้ภาษามือ หากสงสัยว่าเด็กมีปัญหาการได้ยิน ควรปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเพื่อทำการตรวจวินิจฉัยและหาทางแก้ไขปัญหาอย่างรวดเร็ว
สรุป
เด็กที่มีภาวะหูตึงมักจะแสดงพฤติกรรมที่แตกต่างจากเด็กทั่วไป โดยเฉพาะในเรื่องของการพูด การฟัง และการสื่อสาร หากเราสามารถสังเกตและตรวจพบความผิดปกติเหล่านี้ได้เร็ว ก็จะสามารถจัดการและให้การสนับสนุนที่เหมาะสมเพื่อให้เด็กมีพัฒนาการทางภาษาและการใช้ชีวิตได้เต็มที่
5 พ.ย. 2567
5 พ.ย. 2567