อาการหูอื้อเป็นภาวะที่ทำให้เรารู้สึกเหมือนมีเสียงในหู หรือได้ยินเสียงเบากว่าปกติ ซึ่งอาจเกิดจากหลายสาเหตุ เช่น ความดันอากาศที่เปลี่ยนแปลง ขี้หูอุดตัน การติดเชื้อในหู หรือแม้แต่การสัมผัสเสียงดังเป็นเวลานาน หลายคนสงสัยว่าเราจะทำอย่างไรให้อาการหูอื้อหายไปได้ วันนี้เราจะมาดูวิธีการดูแลและแก้ไขอาการหูอื้อในแต่ละสาเหตุเบื้องต้นกัน
สาเหตุที่ทำให้เกิดหูอื้อ
ก่อนที่เราจะหาวิธีรักษา อาการหูอื้อมักเกิดจากหลายปัจจัยหลัก ได้แก่:
- การเปลี่ยนแปลงความดันอากาศ
ขึ้นเครื่องบิน ลงใต้น้ำ หรือขึ้นเขาสูง อาจทำให้เกิดหูอื้อ เนื่องจากความดันในหูไม่สมดุล
ขี้หูสะสมมากเกินไปจนเกิดการอุดตัน ทำให้การได้ยินลดลงและเกิดอาการหูอื้อ
การติดเชื้อในหูชั้นกลาง เช่น หูน้ำหนวก หรือการติดเชื้ออื่น ๆ ทำให้หูอื้อ
การฟังเสียงดัง เช่น เสียงจากคอนเสิร์ต หรือเครื่องจักร อาจทำให้หูอื้อได้
- ความเครียดหรือการเหนื่อยล้า
บางคนอาจมีอาการหูอื้อเพราะความเครียด หรือร่างกายอ่อนล้า ซึ่งเป็นภาวะที่พบได้บ่อย
วิธีแก้ไขและดูแลอาการหูอื้อเบื้องต้น- การหาวหรือกลืนน้ำลายบ่อย ๆ
หากอาการหูอื้อเกิดจากการเปลี่ยนแปลงความดันอากาศ เช่น ขณะเดินทางโดยเครื่องบิน คุณสามารถลองหาว หรือกลืนน้ำลายบ่อย ๆ เพื่อปรับความดันในหู หรืออาจลองเคี้ยวหมากฝรั่งเพื่อกระตุ้นการเคลื่อนไหวของหูชั้นกลาง
หากคุณรู้สึกว่าขี้หูเป็นสาเหตุของการอุดตันและทำให้หูอื้อ ควรไปพบแพทย์เพื่อล้างหู โดยหลีกเลี่ยงการแคะหูด้วยตนเอง เนื่องจากอาจทำให้เกิดการบาดเจ็บในหู หรือดันขี้หูเข้าไปลึกกว่าเดิม
หากหูอื้อเกิดจากการสัมผัสเสียงดัง ควรพักหูในสถานที่เงียบสงบ หลีกเลี่ยงเสียงดังเพิ่มเติม โดยอาการมักจะดีขึ้นภายใน 1-2 วัน
หากมีอาการหูอื้อร่วมกับอาการอื่น ๆ เช่น ปวดหู หูน้ำหนวก หรือมีน้ำหนอง ควรพบแพทย์เพื่อตรวจรักษา การติดเชื้อในหูอาจต้องใช้ยาปฏิชีวนะหรือยารักษาเฉพาะทาง
สำหรับบางคน อาการหูอื้ออาจเกิดจากความเครียด หรือร่างกายอ่อนล้า การพักผ่อนที่เพียงพอและจัดการความเครียดจะช่วยให้อาการดีขึ้น
- ปรึกษาแพทย์หากอาการไม่หาย
หากอาการหูอื้อยังคงอยู่เกิน 2-3 วัน หรือมีอาการรุนแรง เช่น สูญเสียการได้ยินอย่างฉับพลัน หรือติดเชื้อในหู ควรรีบไปพบแพทย์เพื่อทำการตรวจวินิจฉัยและรักษาอย่างเหมาะสม
สรุป
อาการหูอื้ออาจเป็นเรื่องที่ก่อความรำคาญได้ แต่หากเรารู้ถึงสาเหตุและวิธีแก้ไขเบื้องต้น อาการมักจะดีขึ้นภายในเวลาไม่กี่วัน ควรระมัดระวังและดูแลสุขภาพหูของเราอยู่เสมอ หากอาการไม่ดีขึ้นภายในเวลาที่เหมาะสม ควรพบแพทย์เพื่อตรวจรักษาอย่างถูกต้อง